เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวจีน และ ไทยในจังหวัดปัตตานีอย่างดี   ต่อมาได้แพร่หลายไปทั่ว        เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย    หรือหลังตรุษจีน  14  วัน  หรือวันเพ็ญเดือน 3  ตามจันทรคติของไทย   จะมีงานฉลองสมโภชเจ้าแม่   ซึ่งจัดเป็นงานฉลองใหญ่โตทุกปี  ก็จะมีชาวจีน  ชาวไทยเดินทางไปร่วมพิธีกันคับคั่ง   มีพิธีดำน้ำ  ลุยไฟ  กลายเป็นงานที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดงานหนึ่ง     ท่านที่เดินทางไปจังหวัดปัตตานีสามารถจะไปสักการะได้ที่   ศาลเล่งจูเกียง  ถนนอาเนาะรู  อำเภอเมืองซึ่งมีรูปจำลองของเจ้าแม่ประดิษฐานอยู่      แต่เดิมเป็นศาลเจ้าซูก๋ง  ศาลเจ้าเก่าแก่สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชากรุงศรีอยุธยา ปี พ.ศ. 2117    และอีกแห่งหนึ่งคือที่สุสานเจ้าแม่ที่ตำบลกรือแซะ  อยู่ในเขตอำเภอเมืองเช่นกัน   ต่อมาได้มีการทำรูปจำลองนำไปประดิษฐานยังศาลเจ้าหรือมูลนิธิต่าง ๆ หลายแห่ง
 
             ตามประวัติเล่ากันว่า   เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (หรือสำเนียงแต้จิ๋วว่า ลิ้มโกวเนี้ย)  ทางไต้หวันกล่าวว่าเจ้าแม่มีชื่อจริงว่า “ จินเหลียน “ (หรือ “ กิมเน้ย”  ในสำเนียงแต้จิ๋ว )  ชาวฮกเกี้ยน  มีพี่ชายชื่อ เต้าเคียน  หรือ โต๊ะเคี่ยม  แต่บางตำนานก็ว่าเป็นชาวเมืองฮุยไล้  แขวงแต้จิ๋ว     สมัยพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้   ในราชวงค์เหม็งประมาณปี พ.ศ.2065 – 2109   ลิ้มโต๊ะเคี่ยม    เคยรับราชการ    ได้ออกผจญภัยในที่ต่าง  ๆ   สร้างวีรกรรมไว้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ      เมื่อเดินทางมาถึงปัตตานี    (สมัยนั้นเรียกว่าเมืองตานี )   โดยได้ นำเครื่องบรรณาการมาถวายเจ้าเมือง  ได้พบ และ รักกับธิดาพระยาตานี   ต่อมาลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้เข้ารีตนับถืออิสลาม  และ แต่งงานกับธิดาเจ้าเมืองตานี  ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็นผู้ที่มีฝีมือในด้านการหล่อโลหะ และ  การก่อสร้าง   พระยาตานีจึงให้สร้างมัสยิดประจำเมืองให้ยิ่งใหญ่  และสวยงามที่สุด   และให้สร้างปืนใหญ่ในเวลาต่อมา  ( ชื่อ “โต๊ะเคี่ยม”    บ้างก็ว่าเดิมชื่อ “เคี่ยม”  เมื่อเข้ารีตเป็นอิสลามชาวบ้านจึงเรียกว่า “ โต๊ะเคี่ยม “  แปลว่าครูเคี่ยม เพราะเป็นช่างฝีมือดี )
 
  
           ในระหว่างที่มีการก่อสร้างมัสยิดกรือแซะนั่นเอง   ก็มีหมู่เรือสำเภามาจอดที่เมืองปัตตานีในครั้งนี้  มีผู้หญิงคุมกองเรือมานั่นก็คือ  ลิ้มกอเหนี่ยว   น้องสาวของบุตรเขยเจ้ามืองตานี  ซึ่งมาตามพี่ชายให้กลับบ้านไปหามารดาที่ชรามากแล้ว   แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมกลับ  บอกว่ามัสยิดใกล้เสร็จ   หากภารกิจเสร็จก็จะพาภรรยาไปเยี่ยมมารดาพร้อมกัน    อ้อนวอนพี่ชายอยู่หลายตลบจนแน่ใจว่าพี่ชายไม่ยอมละความตั้งใจแล้ว    ด้วยความเด็ดเดี่ยว  ลิ้มกอเหนี่ยวจึงออกจากที่พักเดินทางมาถึงบริเวณที่ก่อสร้างมัสยิดกรือแซะ      ได้ผูกคอตายที่กิ่งมะม่วงหิมพานต์ต้นใหญ่      และ   ทิ้งจดหมายให้พี่ชายไว้ดูต่างหน้า
 
          ลิ้มโค๊ะเคี่ยมได้จัดการศพน้องสาวโดยฝังไว้ในฮวงซุ้ยที่สร้างขึ้นที่ใกล้ ๆ มัสยิดกรือแซะที่เขากำลังสร้างอยู่นั้นเองแต่ยังไม่สำเร็จ   จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้   ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้เดินทางไปที่กองหล่อปืนใหญ่ที่อยู่ใกล้กันและเขาเป็นแม่กองหล่อปืนอยู่ด้วย     ไปยืนปลงอยู่หน้ากระบอกปืนใหญ่ที่สร้างขึ้น  และจุดชนวน   ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงจบชีวิตตรงนั้นเอง     ซึ่งหนึ่งในกระบอกที่ยังเหลืออยู่ก็คือ  ปืนใหญ่นางพญาตานี  ปืนใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   ปัจจุบันอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม
  
          ที่สุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้น   มีชาวปัตตานีได้มากราบไหว้  และ บนบานศาลกล่าว   ปรากฏว่าต่างก็สมหวังไปตาม ๆ กัน  ผู้คนจึงร่ำลือโจษจรรย์ไปทั่วปรากฏว่ามีผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ     ต่อมา  มีผู้ตัดกิ่งมะม่วงหิมพานต์ต้นที่เจ้าแม่ผูกคอตายไปสลักเป็นรูปเจ้าแม่ตั้งอยู่ในศาลไม้เล็ก  ๆ  ข้างสุสานให้กราบไหว้บูชาด้วย    ประมาณ 5 – 60 ปีที่ผ่านมานี้  พระจีนคณานุรักษ์  (ตันจูหลาย   ต้นสกุล “คณานุรักษ์”)  หัวหน้าชาวจีนในเมืองปัตตานี    เห็นว่าที่สุสานซึ่งอยู่นอกเมืองไม่สะดวกในการไปกราบไหว้     จึงได้อัญเชิญรูปจำลองของเจ้าแม่มาอยู่ที่ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง “   ที่บูรณะจากศาลเจ้าซูก๋งให้กว้างขวาง   ศาลเจ้าแห่งใหม่นี้   มีผู้คนเดินทางมาสักการะบูชาจากทุกทิศทุกภาคของประเทศ    จนคณะกรรมการที่ช่วยกันดูแลได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิ    ปัจจุบันนี้  สามารถขยายพื้นที่  สร้างสิ่งต่าง ๆ  ขึ้นมาเป็นอันมาก  มีลานหน้าศาลกว้างขวาง มีอัฒจรรย์สำหรับชมพิธีลุยไฟ  และมีโอ่งน้ำยักษ์ทาสีแดงสด  สามารถจุน้ำได้ 9 หมื่นลิตร     ซึ่งก็ล้วนมาจากอภินิหาร  และ บารมี  ที่มาจากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั่นเอง
 
            ในการเซ่นไหว้สักการะเจ้าแม่   นอกจากเครื่องกระดาษธูปเทียน   นัยว่าท่านโปรดผ้าแพรสีแดง    และ สร้อยมุก   สร้อยมุกนั้นที่ปฏิบัติกันอยู่ก็คือ   เมื่อไหว้ และ อธิฐานแล้ว ก็จะนำไปคล้องที่ศอเจ้าแม่ทั้ง  2  เส้น  และ นำคืนมา 1 เส้นคล้องคอผู้ไหว้นำกลับไปบูชาที่บ้าน 
 ตรุษจีน   หรือ “ชุงโจ้ย “( 春  節 ) คือวันที่ปราชญ์ชาวจีนแต่โบราณกำหนดให้ เป็นวันเริ่มต้นในรอบปี   ตามปฏิทินจันทรคติของจีน    นอกจากเป็นวันเริ่มต้นของปีแล้ว  ยังเป็นวันเปลี่ยนจากฤดู   “ตังที” “ ตง ที”( 冬  天 )  อันหนาวเหน็บ  เข้าสู่ ฤดู “ชุงที ”( 春 天 )  ที่มีแต่ความสุขสดชื่น  อบอุ่นมีชีวิตชีวา   สรรพสัตว์ตื่นจากจำศีล   ผลประกอบการทางการค้าที่มีกำไรส่งให้มีการจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้าง  และคนในครอบครัว   วันตรุษจีน  จึงเป็นวันแห่งความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ในรอบปี   มีการฉลองอย่างสนุกสนาน  ใหญ่โต  มีสีสัน  อย่างที่ทราบกัน  คนจีนเป็นผู้ที่ขยันขันแข็ง    ทำงานเช้ายันค่ำทุกวันแทบไม่มีวันหยุด  ปีละกว่า 300 วัน    จะมีวันหยุดที่เป็นล่ำเป็นสันก็ช่วงตรุษจีนประมาณ  5  วันเท่านั้น   เขาจึงใช้เวลาเหล่านั้นไปบำรุงบำเรอความ สุขตนอย่างเต็มที่   จับจ่ายใช้สอย  เช่นซื้อเสื้อผ้า   อาหารอย่างดี  เที่ยวเตร่ เป็นต้น
          วันตรุษจีน  มีมาแล้วประมาณ  3,600  ปี   หลักฐานทางประวัติศาสตร์  ปฏิทินจีนนั้นกำเนิดขึ้นเมื่อ  980  ปีก่อนพุทธกาล    สันนิฐานว่า  ตรุษจีนก็คงเริ่มมาในเวลาไล่เรี่ยกัน 
                        ช่วงของเทศกาลตรุษจีน   ต่อเนื่องมา  ตั้งแต่วันสุดท้ายของเดือน  12    ของปฎิทินจีน ( แต่ไม่เสมอไปอาจเป็นวันอื่น   แต่ละปีจะไม่ตรงกัน   และเหตุที่ใช้คำว่า  ”วันสุดท้าย”  เพราะเดือน  ของจีนมีทั้ง  29 วัน  หรือ 30 วัน ไม่กำหนดแน่นอน )  
                        แต่พอผ่าน วันที่ 21  หรือ  22  ธันวาคม  (ตรงนี้ต้องใช้เดือนของเทศประกอบ)    เป็นวัน  “ตังโจ้ย” ( 冬   節 )   หรือเทศกาลกิน ” อี๊”( 圓  ) ขนมบัวลอย   ผู้ที่ผ่านวันนี้ไปแล้วพึงจำไว้   ท่านมีอายุเพิ่มขึ้นอีก  1  ขวบ  ” อี๊”  ส่วนหนึ่งจะเอาไปติดไว้ตามตู้กับข้าว  ผนัง   ตามข้างเตาไฟ  จุดอื่นในห้องครัวบ้าง   ในช่วงนี้จนถึงสิ้นปี  จะมีงิ้วแก้บน ที่เรียกว่า งิ้ว  “ เสี่ยซิ้ง “ ( 謝  神 ) กันแทบทุกศาลเจ้า  ศาลพระภูมิ  หรือ  โรงเจ  เยอะมาก   ความจริงบางแห่งอาจมีมาก่อนหน้านี้แล้ว
                        เหตุที่ต้องใช้เดือนของเทศประกอบเนื่องจากการคำนวณวัน  “ตังโจ๊ย”  ถือเอาวันที่เวลากลางวันสั้นที่สุดของปี   ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวของประเทศจีน  หรือประเทศซีกโลกทางเหนือ   วันที่ที่กำหนดว่าเป็นวัน“ตังโจ๊ย”     ให้ดูจากปี ค.ศ.  ปีที่หารด้วย  4 ลงตัวหรือปีที่เดือน กุมภาพันธ์มี  29 วัน    “ตังโจ๊ย”  จะเป็นวันที่  21 ธันวาคม 
                        จากนั้นก็จะถึงวันที่  24  ของเดือน 12  เป็นวัน “ซิ๊งเจี่ยที “  (神 上 天 )  ไหว้ส่ง เจ้าเตาไฟ  “เจ่าซิ้ง” ( 灶  神 ) ขึ้นไปเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้   บนสวรรค์   เพื่อรับเลี้ยงตรุษจีน และ เพ็ดทูลความเป็นไปของโลกมนุษย์   ความดีความชั่วของชาวบ้านต่าง ๆ  เง็กเซียนฮ่องเต้ก็รู้กันตอนนี้  จะได้นำไปคิดบัญชีต่อไป     คนจีนเลยไหว้เจ้าในวันนี้ด้วย  “ขนมหวาน    หรือ  ขนมบัวลอย ”   ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว  โรยน้ำตาล  แผ่นบาง ที่หวาน และ เหนียว  เป็นการทำให้เทพเตาไฟเพ็ดทูลเรื่องความไม่ดีในโลกมนุษย์ได้ไม่ถนัดปาก   เพราะขนมติดปาก  หรือ  รับสินบนชาวบ้านมา แล้วโดยไม่รู้ตัว   มิใช่มีแค่เจ้าเตาไฟเท่านั้นที่ขึ้นไปเฝ้า   เทพที่มีฐานะต่างก็ต้องขึ้นไปเฝ้าแหนเช่นกัน  เช่น เจ้าที่   ตี่จู๋เอี๊ย  เป็นต้น               
                        หลังจากวันส่งเจ้าแล้ว   ชาวบ้านจะพากันทำความสะอาดบ้านเรือน  ห้องหอ  เป็นการขนานใหญ่   เตรียมไว้รับสิ่งดี ๆ ใหม่   ๆ  ในวันตรุษจีนกัน       บ้างก็จะทาสีบ้าน   ติดกระดาษสีแดงมีตัวอักษรจีนสีทอง  ติดประตูทางเข้าบ้านข้างละแผ่น  เรียกว่ากระดาษ  “ กลอนคู่ “  “ ตุ้ยเลี้ยง “ ( 對 聯 )หรือ คำอวยพรง่าย ๆ   เช่น  “ซิงเจียยู่อี่   ซิงนี้ฮวกไช้ “   ศกใหม่ให้สมดังหวัง  ปีใหม่ให้มั่งคั่งร่ำรวย  หรือ กลอนอื่น  ๆ  ที่เป็นศิริมงคล   ช่างเขียนอักษรจีนจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงนี้     เมื่อ  4 – 50  ปีก่อน  มีผู้ประดิษฐ์อักษรจากลวดลายต่าง เช่นนก  ผีเสื้อ ต้นไม้ ใบไม้ และ เดินไปเขียนให้ตามบ้านเรือนทั้งใน  กทม.  และ ต่างจังหวัด 
                        ไคลแม็กซ์จริง ๆ    เทศกาลตรุษจีน   เริ่มตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีน   2  วัน   เรียกว่า  “วันจ่าย”  เป็นวันที่แม่บ้านพ่อบ้านต้องไปจับจ่ายหาซื้อเครื่องเซ่นไหว้   อาหารการกินเตรียมไว้ช่วงตรุษจีนที่ร้านรวงปิดกันเป็นส่วนใหญ่     พอถึงวันสุดท้ายของเดือน 12    ซึ่งนิยมเรียกว่า  “ซาจับ” (三 十)  แม้บางปีจะเป็นวันที่  29      จะเป็น “วันไหว้”    เริ่มกันตั้งแต่ช่วงเช้า จะเป็นการไหว้เจ้าที่  ( ตี่จู๋เอี๊ย ) ศาลพระภูมิ  ไหว้บรรพบุรุษตอนสาย     ตกบ่ายไหว้ “ หอเฮียตี๋ ”  (好 兄 弟)   ผี – วิญญาณไร้ญาติ  สัมภเวสี ที่ล่องลอยไปมาคอยรับส่วนบุญ     ซึ่งเป็นการ สะท้อนถึงจิตวิญญาณของชาวจีนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่     แม้กับวิญญาณคนตายที่ตนไม่รู้จัก      จากนั้น ก็จะมีการแจกเงินก้นถุง  แก่บรรดาลูกหลาน บริวาร    ใส่ซองแดงเรียกว่า “ อั่งเปา ”  ( 紅 包 )(เงินแต๊ะเอีย  เงินโบนัส  แล้วแต่จะเรียก ) แล้วกิจการงาน การค้าจะสะดุดอยู่ตรงนั้นไปอีกหลายวัน  เงินอั่งเปานี้สมัยก่อน  เด็ก ๆ จะได้สตางค์แดง  หรือ สตางค์ดีบุก  ตั้งแต่ 1  สตางค์ ไปจนถึง 20  สตางค์  ที่เป็นเหรียญมีรูตรงกลาง  ร้อยด้าย - เชือกสีแดง ปัจจุบันเป็นแบ๊งค์สีต่าง ๆ ใส่อยู่ในซองสีแดงสดใส 
                         “ ซาจับแม้  “ ( 三  十  夜  ) คืนวันสุกดิบ   คืนวันสุดท้ายของเดือน 12  ต่อวันตรุษจีน “ชิวอิก ”(初 一)ซึ่งเป็น “ วันถือ ”หัวค่ำชาวจีนจะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย  ไหว้พระไหว้เจ้า    เตรียมตัวรอรับ “ ไฉ่สิ่งเอี๊ย ” ( 財  神  爺  ) เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย  หรือ  เทพเจ้าแห่งโชคลาภ  เทพเจ้าแห่งเงินตรา  เพื่อความเป็นศิริมงคล   มีความร่ำรวยยิ่ง  ๆ  ขึ้นไปในปีใหม่ 
           “ไฉ่สิ่งเอี๊ย”  เทพเจ้าแห่งโชคลาภ  โชคดี  หรือ เทพเจ้าเงินตราจะเสด็จมาให้โชคลาภแก่มวลมนุษย์ในช่วงยามแรก  ๆ ของปี  ระหว่าง 5 ทุ่มถึง  ตี 4  แต่จะมีทิศทาง  และ เวลาที่เสด็จมาต่างกัน   อย่างปี  2553 จะเสด็จมาในวันเสาร์ที่  13  กุมภาพันธ์  ทางทิศตะวันออกเฉียงไต้ เริ่มไว้ตั้งแต่เวลา 23.00  สิ้นสุดไม่เกิน 24.59 น.ผู้ที่จะไหว้ต้องนำเครื่องเซ่นไหว้  ซึ่งเป็นผลไม้  ขนมต่าง ๆ   เช่น ไต่กิก (ส้ม)  อี้ (บัวลอย)   ขนมจันอับ   อาหารเจ  5  อย่าง  น้ำชา  ธูป  ทองเท่ง  เงินเท่ง  เทียนเถ่าจี๊  หันหน้าไปหาทิศที่ท่านจะเสด็จ ผ่านมา เพื่อขอพรจาก “ไฉ่สิ่งเอี๊ย”     ท่านเป็นเทพเจ้าที่มีเมตตาให้ทั้งโชคลาภ   และ  ปกป้องโพยภัยต่าง ๆ    
                         “ ชิวอิก ”   เป็น “ วันถือ ” หรือ  “ วันเที่ยว “ เป็นวันที่เขาถือกันว่าจะไม่ด่า  ไม่พูดคำหยาบคาย    ไม่นินทาว่าร้าย   คิด   ห้ามทวงหนี้    ให้ทำแต่สิ่งที่ดี   พุดดี  ใช้มธุรสวาจา  พูดสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี    ไม่ตีแม้แต่ลูก หลานที่ทำความผิด    เวลาลูกหลานทำสิ่งของแตก  ก็อาจจะพูดว่า  อ้อ...ดีดี  ชามมันอ้าออกเพื่อรับโชคลาภ  เป็นต้น     อาหารเช้าจะเป็นอาหารเจ  1  มื้อ หลังจากนั้น   หมู เห็ด เป็ด ไก่บรรดามีที่ใช้ไหว้เจ้า  ไหว้บรรพบุรุษก็จะนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานต่อไปอีกหลายวันโดยไม่ต้องออก ไปซื้อหา  วันชิวอิก  ถึง  ชิวซา  ( 初 三 ) หรือ ในระหว่างช่วงตรุษจีน   ก็จะมีการไปมาหาสู่ในระ หว่างญาติมิตร  ที่ไม่ได้พบกันมาตลอดทั้งปี  หรือ ไปขอพรพ่อแม่  เป็นต้น    เวลาไปเยี่ยมต้องนำ  “ ไต่กิก “ ( 大 桔)  ผลส้มไป  2 หรือ  4  ลูก   หรือ  ขอให้เป็นจำนวน “ คู่ “  และจะมีการแลกเปลี่ยนส้มกัน   โดยผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจะรับส้มไปครึ่งหนึ่ง  หรือ  ทั้งหมด และนำส้มในบ้านมาใส่กลับไปในจำนวนเท่า ๆ กัน    เป็นการรับ-ส่งความสุขซึ่งกันและกัน    เจ้าของบ้านจะเลี้ยงน้ำชาแกล้ม “ แต่เหลี่ยว หรือ ขนมจันอับ “ หรือ “ จับกิ้ม “ ( 什 錦 ) แก่ญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยียนอวยพร         วันตรุษจีนเป็นช่วงที่เด็ก ๆ จะชอบมากเป็นพิเศษ   เนื่องจากได้ทั้งเงินแตะเอีย   มีเครื่องแต่งกายใหม่  ๆ สีสันสดใส    ยังได้ไปเที่ยวสนุกสนานตามแหล่งที่หมายตาไว้อีกด้วย    สีเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเป็นสีที่เป็นมงคลเช่น สีแดง   และไม่ใส่สีที่เป็นอัปมงคล เช่น สีดำเป็นต้น   หากหลีกเลี่ยงได้จะไม่แตะต้องของมีคม  เช่นมีด  เข็ม  เกรงว่าจะบาดนิ้ว  บาดตัว เป็นการตัดโชคลาภของตนเอง และไม่ทำสิ่งของแตกหักเสียหายอันจะเป็นลางไม่ดี
                        หลังเยี่ยมญาติ   ความสนุกสนานก็จะเป็นสิ่งที่เขาทำกันเต็มสติกำลัง   บ้างก็ไปทำบุญทำทานตามศาลเจ้า  โรงเจที่ตนนับถือ  พากันถ่ายรูปกันทั้งครอบครัวเป็นที่ระลึก   จนถึงชิวสี่ ( 初 四 )หรือ  ชิวโหงว ( 初 五) จึงจะกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานทำการกันต่ออีก 300 กว่าวันเพื่อเก็บเงินเก็บทองไว้ฉลองตรุณจีนในปีต่อไป
                   “ ชิวสี่ “ วันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน  ที่ส่วนใหญ่กำหนดให้เป็นวันเริ่มงาน   เป็นวันที่ รับ “ เจ่าซิ้ง”    เทพเจ้าเตาไฟ  และ เทพเจ้าองค์อื่น ๆ กลับจากเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้  เรียกว่าวัน “ซิ้งเลาะที” ( 神 下  天 ) 
                         “ชิวฉิก” ( 初 七 )  วันที่  7  ของเทศกาลตรุษจีน     เป็นวันที่กำหนดให้มีการรับประทานอาหารประเภทผัก  7  อย่าง  ที่เรียกว่า  “ชิกเอี่ยไฉ่”  (七  樣  菜 )  ซึ่งโดยมากจะเอาผักต่าง  ๆ  มาผัด  หรือ  ต้มจับไฉ่  ผักนานาชนิดที่นำมาเป็นเครื่องปรุงในวันนี้จะสรรค์หาผักที่มีชื่อ และความหมายที่เป็นมงคล  อาจจะเปลี่ยนแปรไปบ้างแล้วแต่รสนิยม  และ ความเชื่อ  หรือ  ผลิตผลในแต่ละท้องถิ่น บ้างก็ถือเอาวันที่ 6  เรียก “ หลักเอี่ยไฉ่ “แต่ในเมืองไทย ต้อง“ฉิกเอี่ยไฉ่“  
              ผักมงคล  7  อย่าง  โดยมากจะประกอบด้วย                                                                                                 
              1.   คึ่งไฉ่   芹  菜   ไปพ้องเสียงกับ “ คึ้ง “  ( 勤 )  แปลว่ามีความเพียร  วิริยะ   ขยัน  
              2.  ชุงไฉ่   春  菜    พ้องกับคำว่า “ ชุง ” (  春 )  ฤดูใบไม้ผลิ   หมายถึงความสดชื่นมี ชีวิตชีวา   อีกคำหนึ่ง  伸   ชุง  แปลว่า  ยืด  หรือ ยื่นที่ถูกดึงไปเข้ากับความหมายว่า มีโอกาศยืดหน้า ยืดตากับเขาได้บ้าง
              3.  เก่าฮะ  เก๋าฮะ     厚 合  ผักเขียว  ๆ  ใบหนา ๆ   ความหมายคือ  ความซื่อสัตย์  ความน่าเชื่อถือ  เจ้าสาวที่แต่งงานไปในครอบครัวคนจีนที่ยังเคร่งอยู่ก็จะได้รับประทานผักตัว  นี้ เพื่อให้ซื่อสัตย์ต่อสามี   ส่วนคนไทยเชื้อสายจีน  ดึงมาเป็นพวกเสียเลย เก๋าจึงเป็นศัพย์แสลง  แปลว่า แน่  แปลว่า   ผู้ชำนาญการ    เช่น  เกียรติศักดิ์   เสนาเมือง  เป็นศูนย์หน้าที่ “ เก๋าเกมส์ ”  เป็นต้น    แต่บางครั้งผัก  เก๋าฮะ  นี้   เขาก็ใช้   แป๊ะฮะ  百合    แทนก็มี ซึ่งก็แปลว่าเป็นผู้ที่เข้าได้กับทุกคน   เข้าได้  กับทุกสถานะการณ์พ้องเสียงกับคำว่าสมานฉันท์  เข้าได้หมดไร้ปัญหา  NO  PROBLEM  
             4.  สึ่ง    蒜    ต้นกระเทียม  พ้องเสียงกับคำว่า  “ สึ่ง “  ( 算 ) แปลว่า “นับ” คนจีนถือว่า คนนับเลขเป็นก็จะเป็นพ่อค้าพ่อขายจะร่ำรวย
  5.  ตั้วไฉ่  大 菜     ผักกาดเขียว  มีความหมายว่าใหญ่โต  ยิ่งใหญ่
              6.  ไช่เท้า   菜  頭    เป็น  “ อาเท้า “  เป็นหัวหน้า    คือได้เป็น เจ้าคนนายคน หรือไปพ้องกับ  “ไช้” ( 財 ) แปลว่า   โชคลาภ  มีลาภ                            
              7.   คะน้า  甲  藍      หมายถึงที่หนึ่งในตะกร้า  คำว่า“ กะ”( 甲  )เมื่อไปผสมกับ คำว่า ประเทศ  หรือ โลก  ก็แปลว่ายอดเยี่ยม เป็นที่หนึ่งในโลก จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผักตัวนี้   
            ชื่อผักชนิดต่าง ๆ  ข้างต้น  ต้องบอกไว้ในที่นี้ว่า  เป็นเรื่องของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีอิทธิพลของความเชื่อของจีนแ ต้จิ๋ว เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก   เพราะบางชื่อหากผิดไปจากเมืองไทยแล้ว   ชาวจีนอื่นเขาอาจมีผักตัวอื่น มาแทนกัน
การกำหนดให้รับประทานผัก  7  อย่าง    น่าจะเป็นกุศโลบายของนักปราชญ์แต่โบร่ำโบราณ   การที่จะบอกให้คนที่รับประทานหมูเห็ดเป็ดไก่  ร่ำสุรา มาตลอดเป็นเวลาหลายวัน  ไปถ่ายท้องเสียบ้าง  คงมีคนเชื่อยาก    เลยหากลวิธีให้กินผักซึ่งมีกากใย มากจะได้มีสุขภาพดี   เลยให้กำหนดเป็นอาหารผัก  แต่แนะนำอย่างเดียวคงยากเลยลากบาลีเข้าวัดเสียเลยจะได้ขลัง  ให้ออก ไปทางมงคลเสียบ้าง   คนเราชอบอะไร  ๆ ที่เป็นสิ่งดี  ๆ จึงถือเป็นประเพณีที่ต้องกินผัก7  อย่างที่เป็นศิริมงคล กันมาตั้งแต่โบราณ
             ช่วงปีใหม่จะมีวันสำคัญอีก 1 วันคือ  “ชิวเก้า “ ( 初 九 )   ถือเป็นวันเกิดเทพยดาฟ้าดิน เรียกว่าวัน “ ทีกงแซ “ ( 天 公 生 )  ในคืนวันที่  8  เรียกว่า “ชิวโป๊ยแม้”  ( 初 八 夜 )  ช่วงเวลา
ใกล้เที่ยงคืนต่อวันที่  9    มีพิธีบูชาดาวนพเคราะห์   หรือ  ดาวประจำวันเกิด     ในวันนี้บางแห่งจะมีการบูชาเทพยดาฟ้าดิน   เพื่ออธิษฐาน  หรือ “ บน “  ขอพรสะเดาะเคราะห์ในช่วงปีใหม่   ดังเช่น ที่ป่อเต็กตึ๊งจัดให้มีการลงชื่อ “พะเก่ง “ (拍敬)หรือ “ฮกเก่ง”( 福 敬 ) ในช่วงตรุษจีน จน ถึงวันง่วงเซียว  ( แล้วจะต้องไป “แก้บน “ ในช่วงปลายปีประมาณเดือน  11  ที่ศาลเจ้าหลายแห่งจะจัดให้มีงิ้วแก้บน ที่เรียกกันว่า  “ เสี่ยซิ๊ง “ เรียกว่า “ขอบคุณพระเจ้า” อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรก )พุทธศาสนิกชนจะทำบุญ  และ เวียนเทียน เวียนธูป อธิษฐาน รอบอุโบสถ หรือ ศาลเจ้า  3  รอบ  ตั้งจิตอธิษฐาน  ระลึกพระคุณเทพยดาฟ้าดิน   ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ  เช่น หลวงปู่ไต้ฮง  ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่     บางแห่งอาจมีการแจกของหวาน    เป็นการเสร็จพิธี    ใครที่ไปเที่ยวไกล  ๆ  ก็จะพากันกลับมาในวันนี้    วันชิวเก้า  หรือ วันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีน  ก็จะมีการทำบุญที่เป็นกิจกรรมของตรุษจีนไปจนถึงมืดค่ำ 
          อย่างไรก็ตาม   งานเทศกาลตรุษจีนหาได้หยุดลงในวันที่ 9 ไม่      กิจกรรมทำบุญยังคงมีต่อเนื่อง  แต่ไม่เอิกเกริก   ตรุษจีนจะไปสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงในวันเทศกาล  “ง่วงเซียว”   ( 元  宵 )   หรือ   เทศกาลชาวนา    (พิธีต่าง  ๆ  ที่จัดขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าเป็นพิธีของคนสังคมการเกษตรอย่างแท้จริง     โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปฏิทินตามจันทรคติจีนนั้นมีชื่อเรียกว่า “หล่งและ”  農  曆    แปลตรงตัวว่า  ปฏิทินการเกษตร )    เป็นวันที่ 15  ของเดือน 1   คือ “ เจียง้วยจับโหงว” ( 正 月 十五 )   แล้ว   เพราะหลังจากนี้แล้ว      ก็จะเป็นเวลาที่ต้องกลับไปทำนาในท้องไร่ท้องนา ศาล เจ้าต่าง ๆ  จะมีการประมูลสิ่งของที่ ประธานจัดงานจัดหามา     เพื่อนำเงินไปบูรณะศาลเจ้า  หรือ นำไปทำทานต่อไป    บางแห่ง ไม่มีการประมูลสิ่งของเช่นที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง     ก็จะมีขนมหวาน  น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลผสมถั่วลิสงปั้นเป็นรูปสิงโต สำหรับบูชาไว้บริการให้กับญาติโยมที่มาทำบุญ  บ้างก็เอามาทำบุญเพิ่มขึ้นอีก 1 คู่จากที่ปีที่ผ่านมาได้รับขนมสิงโตไปบูชาที่บ้าน  1  คู่  เพื่อให้ศาลเจ้าไว้บริการให้ผู้ที่ประสงค์จะมาทำบุญ   เป็นการหารายได้เข้าวัด เข้าศาลเจ้าอีกวิธีหนึ่ง    ซึ่งแล้วแต่นโยบายของแต่ละแห่ง     หลังจากวัน “ง่วนเซียว 元 宵”  ผู้คนที่ทำมาค้าขาย  เป็นลูกจ้างก็จะเริ่มดำเนินกิจการค้ากันอย่างเต็มที่    เพราะเสร็จสิ้นกระบวนการของ “ตรุษจีน”  แล้วโดยสมบูรณ์   บางแห่งจะมีงิ้วฉลองขึ้นปีใหม่   จึงจะถือว่าสมบูรณ์ก็มี   
  
ซิงเจียยู่อี่       ซิงนี้ฮวกไช้    新 正  如  意    -  新  年  發 財
ปีใหม่ขอให้สมความปรารถนา     ปีใหม่ขอให้มีโชคลาภ
เทศกาลกินเจ  ตรงกับช่วงระยะเวลา  วันที่ 1 เดือน 9 ถึงวันที่ 9 เดือน 9  ตามจันทรคติ ของ ปฏิทินจีน ผู้คนส่วนหนึ่งจะไม่กินเนื้อสัตว์   ทำให้ได้ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง   เนื่องจากมีการฆ่าสัตว์น้อยลง    ผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะพากันสละกิจโลกียวัตร  และ พากันเข้าวัดวาอารามบำเพ็ญศีลสมาทาน   กินเจ  คือ บริโภคแต่อาหารจำพวกพืชผัก และ ผลไม้เป็นหลัก    ละเว้นไม่กระทำกิจใด ๆ อันนำมาซึ่งการเบียดเบียนเดือดร้อนให้เกิดแก่สัตว์โลก   คือการไม่เอา ชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์โลกให้มาเป็นของเรา   พากันซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา และ ใจ  สวมเสื้อผ้าขาวสะอาด   เข้าวัดเข้าวา  พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน   ทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้   ถือศีลกิจเจเป็นเวลา  9  วัน 
          
         เทศกาลกินเจ สำหรับปีนี้ ตรงกับวันที่  29  กันยายน  ถึง  7  ตุลาคม  2551  แต่พุทธบริษัทจีน  และ ผู้ถือศีลกินเจ จะมีการชำระกระเพาะให้สะอาดก่อน  โดยการกินเจในมื้อเย็นก่อนวันจริง  1  มื้อ และ  มื้อเช้าหลังวันที่เก้าขึ้น  9  ค่ำอีก  1  มื้อเป็นการลา  ซึ่งจะเป็นวันส่งเจ้า  ในช่วง  9  วันนี้  ทุกวันคี่ จะถือเป็นวันเจใหญ่  พุทธบริษัทจะไปทำบุญ และ กินเจที่ศาสนสถาน  นอกนั้นจะถือศีลกินเจที่บ้าน
 
          ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง   กำหนดรับเจ้าในวันที่  28 กันยายน 2551จากนั้น  มีพระสงฆ์ประกอบพิธีสวดคาถามหามงคลทุกวัน กำหนดการอื่น ๆมีดังนี้ /  พิธีเบิกเนตรองค์ยมทูต และพิธีลอยกระทง  ในวันที่  4  ตุลาคม  / มีพิธีทิ้งกระจาดในศาลเจ้าไต้ฮงกงตอนช่วงบ่าย / พิธีเวียนเทียนรอบศาลเจ้าในตอนหัวค่ำ / วันที่  8  ตุลาคม  เป็นวันส่งเจ้าในช่วงเช้า สิ้นสุดช่วงเทศกาลกินเจประจำปี
          เทศกาลกินเจ   เก๋าอ่วงเจ  หรือ กิ๋วอ่วงเจ แล้วแต่จะออกเสียง  เป็นพิธีกรรมที่พุทธบริษัทไทยเชื้อสายจีนถือปฏิบัติมาแล้วนับสิบ นับร้อยปี โดยทั่วไป  ผู้ที่จะเข้าสู่เทศกาลนี้ จะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมพอสมควร   ผู้ที่ถือเคร่ง  จะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิตลอดทั้งเทศกาล นอกจากจะกินเจเคร่ง  คือการไม่กินพืชผักที่มีกลิ่นหอม หรือ เผ็ดร้อนอันจะนำมาซึ่งกามกิเลศ  เช่น หัวหอม  กระเทียม ไม่กินแม้กระทั่งน้ำนม   ซึ่งผู้กินมังสะวิรัติ   บางส่วนจะถือว่าน้ำนมนั้นกินได้   จะไม่ข้องแวะทางโลกีย์วิสัย   คิด  และ ทำแต่สิ่งที่ดี  ระมัดระวังสำรวมในการพูดจา   ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้อยู่เพียงแค่นั้นว่า   เมื่อถึงเทศกาลนี้  ต้องทำอย่างนี้   แต่จะทราบถึงเหตุที่มาแห่งเทศกาลนี้คงมีเพียงน้อยนิด  แต่ที่มาแห่งเทศกาลกินเจนั้นไม่ได้มีมาแต่ความเชื่ออย่างเดียว  มีที่มาหลากหลาย  ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
 
          เทศกาลกินเจ    มาจากคำบอกเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นเชิงปรำปรา  และ มาจากคำสอน ความเชื่อทางศาสนาพุทธ   ฝ่ายนิกายมหายาน  เป็นกุศโลบายให้คนทำความดี  เหมือนเช่นเรื่องอื่นๆ    แต่คนรุ่นหลังได้มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งพิธีการ เพื่อให้เกิดความขลัง  ให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น   จึงทำให้กลายเป็นพิธีการที่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการประกอบพิธีให้ครบถ้วน
         เทศกาลตรุษจีน   หากจะถือตามนิยายปรำปราอิงประวัติศาสตร์ในปลายราชวงศ์ซ้อง ซึ่ง บันทึกไว้ในหนังสือ “ประวัติวัฒนธรรมจีน”  เรียบเรียงโดย   ล.เสถียรสุต  เล่าไว้ว่า   กษัตริย์องค์สุดท้ายมีพระชนม์ชีพเพียง  9  พรรษา เสด็จหนีพวกมงโกลไปยังเกาะไต้หวัน  แต่ได้สิ้นพระชนม์ชีพที่กลางทะเลนั่นเอง   ข้าราชบริพาร  พากันแต่งกายไว้ทุกข์  และ จัดพิธีทางศาสนาพุทธเป็นการอำพราง  แต่สิ่งของต่าง ๆ  ในพิธีเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่กษัตริย์จีนใช้  และ ในพิธียังใช้ราชาศัพท์   ชาวจีนแต้จิ๋วที่เดินทางมาจากฮกเกี้ยนที่ซึ่งกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ซ้องเหยียบแผ่นดินเป็นแห่งสุดท้าย   ได้นำพิธีดังกล่าวมาประเทศไทยด้วย   ซึ่งชาวแต้จิ๋วในประเทศจีนเองไม่มีพิธีนี้
 
         อีกความเชื่อหนึ่ง  มาจากการบูชาดาวนพเคราะห์ทั้งปวง  ตามความเชื่อในพุทศาสนาฝ่ายมหายานของจีน ที่ถือการทำบุญทำทานแก่ผู้ยากจน  เป็นที่นิยมมาแต่โบราณ   เชื่อกันว่าการกินเจนั้นให้ผลดีทางด้านจิตใจ  เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์  ได้แผ่เมตตา กรุณา ช่วยชีวิตให้สัตว์ให้รอดตายได้จริง ๆ  จากตอนหนึ่งในหนังสือ “ประวัติการกินเจ” ของอาจารย์เสถียร  โพธินันทะ  พิมพ์โดยโรงเจฮั่วเฮียง  ท่านกล่าวถึงประวัติการกินเจเดือนเก้าจีนไว้มีใจความว่า
 
          พิธีการกินเจเดือนเก้าตามปฏิทินจีนทุก ๆ ปี มีกำหนด 9 วันนั้น   ลัทธิมหายานในพุทธศาสนามีอรรถาธิบายว่า  เป็นการประกอบพิธีกรรมสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับ พระโพธิสัตว์อีก 2  พระองค์  รวมเป็น 9 พระองค์  หรือ นัยหนึ่งคือ “ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9”  ซึ่งในพระสูตร “ปั๊กเต้าโก้วฮุดเซียวไจเอี่ยงซิ่วเมียวเกง”ได้เอ่ยนามไว้  และได้แบ่งภาคต่อ ๆ มาเป็น ดาวนพเคราะห์คือ
ดาวไท่เอี๊ยงแช    คือ     พระอาทิตย์
ดาวไท่อิมแช      คือ     พระจันทร์
ดาวฮวยแช        คือ     ดาวพระอังคาร
ดาวจุ้ยแช          คือ      ดาวพระพุทธ
ดาวบักแช          คือ      ดาวพฤหัสบดี
ดาวกิมแช          คือ      ดาวพระศุกร์
ดาวโถ่วแช         คือ      ดาวพระเสาร์
ดาวลอเกาแช      คือ      พระราหู
ดาวโกยโต๋วแช    คือ      พระเกตุ
เทพเจ้าทั้ง 9 องค์  ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์พุทธบริษัทจีนจึงพากันเรียกว่า “ เก๋าอ๊วง “ หรือ “กิ๋วอ๊วง”  หมายถึง นพราชา
           เมื่อถึงขึ้น  1  ค่ำ เดือน 9  ตามจันทรคติจีน   เทพเจ้าทั้ง 9 จะผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจโลก  คอยให้คุณให้โทษแก่ประชาชนทั่วไป  ด้วยความที่เทพเจ้าทั้ง 9 ทรงมีน้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ   ควบคุมให้ถึงพร้อมด้วยความบริบูรณ์ทางธรรม  สอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกด้วย  บัณฑิตโบราณจึงบัญญัติไว้ว่า  การทำพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์   เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ  ให้พุทธบริษัทมาประชุมบำเพ็ญกุศลวัตรถวายพุทธบริโภค  รักษาศีล  สดับฟังพระอภิธรรม และ ธรรมเทศนา  บริจาคไทยทาน  ทิ้งกระจาด และ ลอยกระทงแผ่กุศลแก่สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากในนรกอเวจี  อันมีเปรตอสูรกายเป็นอาทิ และ ทำการปล่อยนกปล่อยปลา  เต่า เป็นต้น
 
         ส่วนความเชื่ออันเป็นที่มาของการถือศีลกินเจของภาคใต้  โดยเฉพาะที่ภูเก็ตนั้น   มีที่มาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และ พระโพธิสัตว์เช่นกัน และ มีชื่อพระพุทธเจ้าต่างออกไปบ้างแต่สุดท้ายก็แบ่งภาคมาเป็น นพราชาเหมือนกัน   เบื้องต้น มาจากแคว้น กังไส   พระราชโอรสทั้งเก้าเสียชีวิตในสงคราม   และจุติเป็นวิญญาณอมตะเที่ยวสอดส่องดูแลทุกข์สุขของชาวเมืองกังไส  และได้แนะนำให้เศรษฐีผู้ใจบุญให้ถือศีลกินเจ ผลไม้ 5 อย่าง  ผัก 6 อย่าง พร้อมกับจุดตะเกียง  9 ดวง  อันหมายถึงพระราชโอรสทั้ง 9 พระองค์   ในระหว่างกินเจ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามของคาวทุกชนิด   ห้ามดื่มของมึนเมาเป็นต้น  เศรษฐีเห็นว่าพระราชโอรสได้สอนและหายตัวไปในวันที่ 1 เดือน 9  จึงได้กินเจวันดังกล่าวเรื่อยมา   ต่อมาคณะงิ้วผ่านมาเห็นเป็นเรื่องน่ารู้จึงนำเรื่องราวไปแต่งเติมและเล่นงิ้วเผยแพร่ไปทั่ว  พิธีกินเจที่คณะงิ้วนำไปแสดงนั้นมีกำหนดพิธีการต่าง ๆ  เป็นขั้นเป็นตอนเช่น  พิธีอัญเชิญพระอิศวรมาประทับเป็นประธานในพิธีกินเจ    พิธีสักการะนพราชา  พิธีปล่อยทหารเอกออกไปรักษามลฑณพิธี  พิธีเลี้ยงอาหารทหาร  พิธีเรียกทหารกลับ   พิธีลุยไฟ  พิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตา   และจบด้วยพิธีบวงสรวงดาวนพเคราะห์  ซึ่งพิธีกินเจบางแห่ง  เช่นทางภาคใต้ของไทยมีการแสดงทรมานกาย  มีการแสดงทางทหารเช่นการแสดงเอ็งกอ  นั่นก็มาจากคณะงิ้วที่นำมาเผยแพร่นั่นเอง
 การถือศีลกินเจในเทศกาลกินเจเดือน 9  ตามปฏิทินจีนตามข้างต้นนั้น  เป็นความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณ   เป็นกุศโลบายของนักปราชญ์   ราชบัณฑิต ผู้มีกุศลจิตในสมัยนั้นที่ต้องการให้ผู้คนให้อยู่ในศีลในธรรม   ถือศีลกินเจ  ทำบุญทำทานเพื่อให้จิตใจอ่อนโยน   มีความเมตตา  กรุณาต่อมวลสัตว์โลกทั้งหลาย       แม้ความเชื่อจะต่างกัน  แต่ผลแห่งการกระทำนั้นคือจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ  บุคคลทั่วไปควรจะลดละอกุศลกรรมทั้งมวล  อุตสาหสะสมแต่สิ่งที่ดีงาม   เพื่อรับพรจากเทพเจ้าทั้ง 9 กระองค์  ก็จักทำให้จิตใจเบิกบาน  ผ่องแผ้ว มีแต่ความสุข   ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตสืบไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น